13 ถ้ำที่น่าอัศจรรย์ ที่สุดในโลก

 

13 ถ้ำที่น่าอัศจรรย์ ที่สุดในโลก

ในโลกนี้ยังมีถ้ำที่สวยงามน่าประทับใจอยู่มากมาย ทั้งหินงอกหินย้อย และสิ่งมีชีวิตสุดประหลาด ราวกับเป็นเมืองใต้ดินสุดลึกลับ
และวิหารบูชาที่สลักด้วยมือ 
คุณพร้อมแล้วจะไปสำรวจถ้ำกับเราแล้วหรือยัง? เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อม เพราะเรากำลังจะพาคุณไปทัวร์ยังใจกลางโลกกัน ” ถ้ำที่น่าอัศจรรย์ “

 

1. Son Doong Cave – Quang Bình Province, Vietnam

ด้วยความกว้างกว่า 656 ฟุต และสูงถึง 492 ฟุต และยาวถึง 5.6 ไมล์ Son Doong เป็นที่รู้จักและเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ำนี้ถูกค้นพบครั้งแรก
โดยชายชาวเวียดนามชื่อ Ho Khanh ในปี ค.ศ.1991 และมีชื่อเสียงไปทั่วโลกหลัง นักสำรวจชาวอเมริกันได้เข้าไปสำรวจในปี ค.ศ.2009
และพบถ้ำที่เชื่อมต่อถึง150 ถ้ำ 

ถ้ำ Son Doong มีอายุมากกว่า5ล้านปี จากการกัดเซาะของแม่น้ำจากใต้ภูเขา ภายในมีหินปูนขนาดใหญ่ ขนาดเท่าอาคารสำนักงาน
และมีลำธารไหลไปรวมกับทะเลสาบขนาดมหึมา มีสีฟ้าแปลกตา บรรยากาศภายในถ้ำดูลึกลับเหนือธรรมชาติ
แสงทะลุผ่านตัดกับกลุ่มหมอกภายในถ้ำให้บรรยากาศที่ชวนขนลุกสุดๆ

 

 

2. Waitomo Caves – Waitomo, New Zealand

ถ้ำ Waitomo ในประเทศนิวซีแลนด์ มีความหมายมาจากคำในภาษาเมารีโดย “wai” หมายถึงน้ำ และ “tomo” หมายถึงหลุมในพื้นดิน
ถ้ำนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 30 ล้านปี และเป็นที่อยู่ของหนอนเรืองแสงนับพัน ทำให้เต็มไปด้วยแสงสว่างราวกับเป็นที่อยู่ของนางฟ้า
หนอนเหล่านี้มีชื่อว่า Arachnocampa luminosa เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นลักษณะเฉพาะของนิวซีแลนด์เลยทีเดียว 

เป็นที่ที่มีความกว้างใหญ่ราวกับขนาดของมหาวิหาร เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยมากมาย สามารถเดินเท้าเข้าไปเยี่ยมชมได้
หากคุณรักการผจญภัยหน่อย คุณสามารถว่ายน้ำคลานผ่านทางเดิน กระโดดน้ำตก และไต่ผนังถ้ำโดยใช้เชือกได้เช่นกัน

 

 

3. Blue Grotto – Capri, Italy

Blue Grotto ถูกยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติในปี ค.ศ.1826 มีจุดเด่นคือทะเลภายในถ้ำที่มีสีฟ้าสดใส
แลดูเหนือธรรมชาติเมื่อสัมผัสกับแสงที่ลอดออกมาจากถ้ำ ครั้งหนึ่งถ้ำแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คือเคยถูกใช้เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว
ของจักรพรรดิ Tiberius ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลโรมัน 
ปัจจุบันผู้เข้าเยี่ยมชมจะต้องนอนราบกับก้นเรือ
ในขณะที่คนภายเรือจะพานักท่องเที่ยวเข้าชมผ่านทางลอดที่สูงเพียง 3 ฟุต และดึงให้เข้าไปด้านในด้วยโซ่ที่ต่อกับผนังถ้ำเท่านั้น

 

 

4. Caves of Heaven and Hell – Narlikuyu, Turkey

Caves of Heaven and Hell ถูกขนานนามในชื่อของนรกและสวรรค์ที่อยู่ใต้พื้นดิน ในประเทศตุรกี
โดยถ้ำจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ “Chasm of Heaven” มีความสูงอยู่ที่ 229 ฟุต และยาว656 ฟุต สามารถเข้าไปถึงได้
ด้วยการเดินขึ้นบันไดกว่า 452 ขั้นมีความงดงามราวกับสวรรค์ เป็นมรดกตกทอดมาจากโบสถ์ไบแซนไทน์ในศตวรรษที่ 5
ซึ่งต่อมาได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นมัสยิด และบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจะพบกับ “Gorge of Hell” เป็นเหวลึกถึง 419 ฟุต ตามตำนานเทพ Zeus
กักขังอสูรกาย 100 หัว นามว่า Typhon ไม่สามารถลงไปด้านล่างของเหวได้ แต่สามารถชมความลึกของเหวนี้ได้จากแท่นที่ยื่นออกมา

 

 

5. Postojna Cave – Postojna, Slovenia

เป็นถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกที่ตั้งตระหง่านมากว่า 140 ปี และเส้นทางรถไฟที่เก่าแก่ยาวกว่า 2 ไมล์ มีจุดเด่นคือหินงอกที่มีความสูงกว่า 52.5 ฟุต
และสูง 16 ฟุต ทำจากหินมันวาวสีขาว 
เหล่าซาลาแมนเดอร์ในน้ำที่มีตำนานเล่าว่าพวกมันคือลูกหลานของมังกรที่เคยอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้

 

 

6. Cave of the Crystals – Chihuahua, Mexico 

18 ปีก่อน ดินแดนแห่งคริสตัลนี้ได้ถูกค้นพบใต้ผิวโลก ในเหมืองไนก้า ทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก ลึกลงไปกว่า 1000 ฟุต
นักขุดเหมืองได้ค้นพบห้องที่เต็มไปด้วยคริสตัลมากมาย และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา มีความยาวถึง 36 ฟุต และเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 13 ฟุต
และหนักถึง 55 ตันต่อชิ้น ลักษณะคล้ายกระบี่แสงขนาดใหญ่ ตั้งแนวทแยงประสานกัน เมื่อแสงลอดผ่านจะพบกับเอฟเฟกต์อันน่าตื่นตาตื่นใจ

ถ้ำนี้ถูกเปิดให้เข้าชมจนกระทั่งในปี 2017 เกิดนำท่วมขังภายใน โดยจะเปิดให้เข้าชมได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในขณะนี้คุณสามารถชมก้อนคริสตัลขนาด 32 นิ้ว ได้ที่ Astro Gallery ในนครนิวยอร์ก

 

 

7. Derinkuyu Underground City – Derinkuyu, Turkey 

Derinkuyu ตั้งอยู่ใจกลางประเทศตุรกี ซึ่งชื่อของถ้ำนี้มีความหมายว่า “บ่อน้ำลึก” ในภาษาตุรกี มีการอ้างอิงถึงถ้ำนี้ในประวัติศาสตร์
ย้อนไปถึง 370 ปี ก่อนคริสตกาล แต่ว่ากันว่า มีความเก่าแก่กว่านั้นมาก ในระหว่างศตวรรษที่ 7 -11 ช่วงที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกรุกราน
โดยชาวอาหรับเหล่าคริสเตียนไบแซนไทน์ได้ ใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นหลุมหลบภัย ที่อยู่อาศัย คอกสัตว์ แหล่งกักเก็บอาหาร โรงเรียน และโบสถ์
รวมถึงสุสาน ได้ถูกตัดขาดออกจากหินภูเขาไฟที่แกะสลัก โดยชาวกรีกแคปปาโดเชี่ยนได้จากไปในช่วงต้นทศวรรศของปี 1920
ปัจจุบันได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวได้เข้าชมซากชุมชนเก่าที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ ที่มีความลึกกว่า 279 ฟุต

 

 

8. Eisriesenwelt Cave – Werfen, Austria

ถ้ำนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นลมหน้ามืดได้ง่าย เพราะผู้เข้าชมจะต้องผ่านบันไดที่ลาดเอียงและมีความยาวกว่า 439 ฟุต
ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดที่แลกมานั้นคุ้มค่ามากทีเดียว แขกผู้เข้าพักจะต้องใช้โคมไฟ
ของคนงานเหมืองเก่าๆเพื่อใช้ในการสำรวจ World of the Ice Giants ซึ่งเป็นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ก่อตัวเป็นประกาย
สะท้อนตามการหักเหของแสงโคมไฟและเส้นทางน้ำแข็งที่ละลายลงมาจากด้านบนราวกับเป็นรั้วน้ำแข็ง
ที่มีความสวยงามยาวไปจนสุดเพดาน โดยถ้ำนี้มีความยาวกว่า 26 ไมล์ เป็นถ้ำน้ำแข็งและหินปูนตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

 

9. Fingal’s Cave – Staffa, Scotland

ตามตำนานชาวไอริชเล่าว่ามียักษ์นามว่า Fionn mac Cumhaiil หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Finn McCool ได้สร้าง Giant’s Causeway
ในไอร์แลนด์ตอนเหนือ เพื่อไปยังสกอตแลนด์และต่อสู้กับ Bennandonner คู่ปรับของเขา แม้กาลเวลาจะผ่านไปแต่ Fingal’s Cave
ยังคงเป็นตำนานที่เล่าขานของชาวสกอตแลนด์ 

ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะ Staffa มีน้ำตกสูงกว่า 72 ฟุต และลึกกว่า 270 ฟุต ผนังภายในประกอบจากหินบะซอลต์หกเหลี่ยม
โผล่ขึ้นมาจากทะเลเปรียบเหมือนเป็นท่อออแกนของโบสถ์ เสียงลมที่พัดกับความสูงของระดับน้ำและหินที่ต่างกัน
ทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะ ทำให้ถ้ำนี้ได้รับฉายาว่า Uamh-Binn หรือ “Cave of Melody” บทเพลงจากธรรมชาติเหล่านี้
ได้สร้างแรงบัลดาลใจให้กับศิลปินและนักดนตรีมากมายตั้งแต่ Felix Mendelssohn ไปจนถึง Pink Floyd

 

 

10. Jenolan Caves – Jenolan, Australia 

ถ้ำ Jenolan สามารถเดินทางจากเมืองซิดนีย์โดยใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง ถ้ำนี้มีอายุยาวนานกว่า 340 ล้านปี และมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง
ไปตามกาลเวลา มีถ้ำที่เชื่อมต่อกันถึง 9 ถ้ำ รวมถึง Diamond Cave หรือถ้ำเพชรที่เกิดจากการก่อตัวของคริสตัลสีขาวแวววาว
และยังมีแม่น้ำในถ้ำสีฟ้าครามตัดกับทะเลสาบเกิดเป็นภาพลวงตาที่มีความสวยงาม 

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัยสามารถเข้าร่วมทัวร์ Adventure Caving เพื่อลงสำรวจถ้ำ ในช่องทางเดินที่มีขนาดเล็กและแคบสุดท้าทาย

 

 

11. Skocjan Caves – Skocjan, Slovenia 

นิตยสาร Smithsonian ได้ขนานนามถ้ำแห่งนี้ว่า “The underground Grand Canyon” เพราะมีห้องใต้ดินขนาดใหญ่
โดยจุดที่มีชื่อเสียงและเป็นจุดเยี่ยมชมหลักคือ Martel’s Chamber ที่มีความยาวกว่า 1010 ฟุต และสูงถึง 479 ฟุต

จุดที่น่าจดจำของถ้ำนี้คือ การเดินทางข้ามสะพาน Cerkvenik เพื่อเดินทางไปยังถ้ำ Šumeca สะพานนี้ลอยอยู่เหนือแม่น้ำ
Reka ขณะเดินผ่านจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองเห็นโลก ด้วยแผ่นหินและหินงอกหินย้อยด้านล่างที่มีอายุกว่าหลายล้านปี

 

 

12. Víðgelmir Cave – Hallmundarhraun, Iceland 

ถ้ำ Víðgelmir เป็นท่อลาวาที่มีความยาวกว่า 5250 ฟุต อยู่ทางตะวันตกของประเทศไอซ์แลนด์ เกิดขึ้นจากการประทุของลาวา
และเย็นตัวจนกลายเป็นหินงอกหินย้อย และปัจจุบันได้มีการสร้างทางเดินไม้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเยี่ยมชมกำแพงลาวา
ขนาดใหญ่ที่เย็นตัวลงและกลายเป็นถ้ำที่สวยงาม โดยกำแพงถ้ำสามารถเรืองแสงสีแดงจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ว่ากันว่าถ้ำแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยไวกิ้งจากหลักฐานโครงกระดูกและเครื่องประดับโบราณต่างๆที่นักโบราณคดีพบในปี ค.ศ.1993

 

 

13. Wieliczka Salt Mine – Wieliczka, Poland

แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วสถานที่นี้อาจจะดูไม่ใช่ถ้ำ แต่ Wieliczka Salt Mine ก็สมควรที่จะได้อยู่ใน 13 แห่งที่เรายกมาเช่นกัน
ถ้ำนี้ถูกขุดโดยคนงานเหมืองหลายพันคนมานานกว่า 700 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่ขุดแร่เกลือที่ลึกลงไปกว่า 1072 ฟุตเท่านั้น
แต่พวกเขายังทิ้ง วิหารและรูปปั้นทางศาสนาที่แสลักจากเกลือสินเธาว์ในอุโมงค์ที่ทอดยาวกว่า 178 ไมล์ 

เส้นทางการท่องเที่ยวภายในเหมืองนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และตำนานมากมาย โดยมีตำนานเล่าว่า
เจ้าหญิงคินก้าได้นำเกลือเดินทางไปยังโปแลนด์และสร้างโบสถ์บนสวรรค์ให้กับตัวเธอเอง

 

Line : @tourddtooktook

☎โทร: 02-010-8840

สายด่วน: 091-739-6939 พี่หวิน // สายด่วน: 090-894-3331

เว็บไซต์:  https://www.we-rworldtour.com/

Facebook:  https://www.facebook.com/werworldtour/

❤️🧡💛💚💙💜🖤❤️🧡💛💚💙💜🖤❤️🧡💛💚💙💜🖤❤️🧡💛💚💙💜🖤❤️🧡💛💚💙💜

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก : shutterstock