เที่ยว เบลเยี่ยม มนต์เสน่ห์แห่งยุโรป
เที่ยว เบลเยี่ยม มนต์เสน่ห์แห่งยุโรป
เที่ยว เบลเยี่ยม กรุงบรัสเซลส์เป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยียม และเป็นศูนย์กลางหรือเมืองหลวงอย่างไม่เป็นทางการของสหภาพยุโรป (EU) มีประชากรมากกว่า 2,000,000 คน และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่โด่งดังในเรื่องของช็อกโกแลตและเบียร์ที่ดีที่สุดในโลก
จัตุรัสหลักแห่งบรัสเซลส์ กรองด์ ปลาซต์ (Grand Place)
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบรัซเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีชี่อเสียงกล่าวขานกันว่าเป็น 1 ในจัตุรัสที่งดงามมากที่สุดในยุโรป สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีศาลาว่าการเมืองและอาคารที่สวยงามโดยรอบจัตุรัส เคยถูกโจมตีโดยทหารฝรั่งเศสจนเสียหายหนัก ก่อนจะได้รับการซ่อมแซมในปี ค.ศ. 1695 และอยู่ยืนยงจนถึงปัจจุบัน จัตุรัสแห่งนี้จึงเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่มาชื่นชมจัตุรัสแห่งนี้อย่างมากมาย โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่มีการเปิดไฟประดับประดาสวยงามและยังถือเป็นจุดหมายที่สำคัญแห่งหนึ่งของเบลเยียมอีกด้วย
เทศกาลพรมดอกไม้ (Flower carpet)
เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงบรัสเซลล์และเป็นอันดับต้นๆของยุโรป เพราะเราจะได้เห็นดอกบีโกเนีย หรือดอกดาดตะกั่วกว่าห้าแสนต้น ที่จัดแสดงเรียงรายกันจนกลายเป็นพรมผืนยักษ์สีสันสดใส บนพื้นที่กว่า 1,800 ตารางเมตร กลายเป็นศิลปะจากดอกไม้อันงดงาม ซึ่งเทศกาลนี้ได้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่เบลเยี่ยมเป็นประธานของสหภาพยุโรปการจัดงานในครั้งนั้น เทศกาลพรมดอกไม้ ไม่ได้มีให้ชมกันทุกปี เพราะว่า 2 ปีถึงจะจัดงานครั้งหนึ่ง กลายเป็นเทศกาลท่องเที่ยวเบลเยี่ยมอันยิ่งใหญ่ที่คนทั่วโลกต่างรอคอยเพื่อจะมาชม โดยงานจะจัดในช่วงเดือนสิงหาคม และมีเพียง 4 วันเท่านั้น
อะตอมเมี่ยม (Atomium)
อะตอมเมี่ยม สร้างในปีคศ. 1958 เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศเบลเยี่ยม และเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการจัดงานแสดงนิทรรศการโลก “เอ็กซ์โป” ในปี 1958 และถูกสร้างขึ้นโดยจำลองโลหะในลักษณะใสเหมือนคริสตัล ออกแบบเป็นโมเลกุลผลึกธาตุเหล็กที่มีการจับตัวของอะตอมแบบเก้าอะตอมสานกันเป็นผลึก โดยนำสัดส่วนมาขยายขนาดใหญ่กว่าโมเลกุลของจริงถึง 165 พันล้านเท่า จึงกลายเป็นสิ่งที่มหัศจจรรย์ที่ดูงดึดนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต (Chocolate Museum)
เป็นพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเบลเยียม ถือว่าเป็นสวรรค์ของผู้ที่หลงใหลในความหวานของช็อกโกแลตก็ว่าได้ ภายในจะมีร้านค้ามากมาย นิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของช็อกโกแลต และมีห้องสาธิตการทำช็อกโกแลตอีกด้วย
(เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันอังคาร – อาทิตย์ ปิดทุกๆ วันจันทร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ)
รูปปั้นเมเนเก้นพีส (Manneken Pis) สัญลักษณ์เเห่งบรัสเซลส์
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่ห้ามพลาดก็คือ การถ่ายรูปกับ “เมเนเก้นพีส (Manneken pis)” เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมกันเป็นอย่างมากซึ่งเป็นประติมากรรมเด็กชายตัวเล็กๆกำลังยืนแอ่นตัวปัสสาวะอย่างน่ารัก ผู้สร้างประวัติศาสตร์และตำนานพื้นเมืองของชาวเบลเยี่ยมซึ่งมีการเล่าขานกันมาหลากหลายตำนานว่าในช่วงเวลานั้นเกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสเเละเบลเยี่ยม ทหารฝรั่งเศสวางเเผนการวางระเบิดใจกลางกรุงบรัสเซลส์ และมีเด็กชายชื่อ จูเลียนสกี มาพบสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟ จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้ ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ
เมืองบรูจส์ (Brugge)
ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป ในอดีตเมืองบรูจส์เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเบลเยี่ยมแต่เมืองถูกปิดล้อมไม่มีทางออกทะเล ศูนย์กลางเมืองเก่านั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ โดยบริเวณเมืองเก่านั้นมีลักษณะพื้นที่เป็นรูปไข่ มีประชากรอาศัยอยู่ในบริเวณเมืองเก่ากว่า 20,000 คน ทางตอนเหนือของเมืองมีลำน้ำที่ใช้ในการคมนาคมรอบๆ ได้ และได้รับการขนานนามว่า เวนิสแห่งภาคเหนือของยุโรป
หอระฆัง (The Belfry of Bruges) หรือ (Belfort)
เป็นหอระฆังที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน ตั้งอยู่ใจกลางย่านเมืองเก่าติดกับจัตุรัสหลักของเมือง และสูงเด่นเป็นสง่ากว่า 83 เมตร เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองนี้ ในอดีตหอระฆังนี้ใช้เป็นที่เก็บสมบัติของเมืองและหอจดหมายเหตุที่เก็บเอกสารสำคัญต่างๆ รวมทั้งเป็นหอสังเกตการณ์และจุดไฟเพื่อเตือนภัยเมื่อมีการรุกรานจากศัตรูอีกด้วย การขึ้นไปชมวิวด้านบนของหอระฆังนั้นจะต้องเดินขึ้นบันได 366 ขั้น ระฆังที่อยู่บนยอดหอนั้น ใช้งานเป็นเครื่องเตือนภัยชาวเมืองมาอย่างช้านาน ไม่ว่าจะเป็นการเตือนไฟไหม้ การเคาะเพื่อกำหนดเวลาเลิกงาน หรือเพื่อกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ
จัตุรัสเดอะมาร์ก (The Markt)
เป็นพื้นที่เก่าเเก่ของเมืองบรูจส์ โดยเป็นที่ตั้งของตลาดค้าขายที่มีสินค้ามากมายขายอยู่ อีกทั้งยังเเวดล้อมไปด้วยอาคารเก่าเเก่อยู่รายล้อม โดยมีทั้งวังเก่าของเมืองบรูจส์ รวมทั้งศาลาว่าการเมือง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวชมกันอยู่ไม่ขาดสาย นอกจากนี้เเล้วยังมีโบสถ์เก่าที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีหอคอยประจำเมืองที่คุณสามารถขึ้นไปชมความงดงามของวิวทิวทัศน์เมืองบรูจส์ ได้อย่างชัดเจนเเละจะเป็นภาพที่น่าจะประทับใจต่อนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
โกรเทอ มาร์ก (Grote Markt) หรือ (Market Square)
เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และเป็นศูนย์กลางการค้าขายมาตั้งแต่สมัยโบราณ รอบๆจัตุรัสมีอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ ทั้งหอระฆังและที่ทำการศาลที่กลางจัตุรัสมีรูปปั้นของ Jan Breydel และ Pieter de Coninck พ่อค้าคนสำคัญของเมืองบรูจส์ บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ยังเป็นที่จัดแสดงงานรื่นเริงต่างๆทั้งคอนเสิร์ต ทอล์คโชว์หรือเทศกาลประจำปีอีกด้วย
ล่องเรือชมคลอง (Bateaux-Mouches)
ในบรูจส์มีท่าลงเรือล่องชมทิวทัศน์ริมคลองอยู่หลายท่า และมีผู้ให้บริการอยู่ราวๆ 2-3 เจ้า ค่าโดยสารก็พอๆกัน พร้อมคำบรรยายภาษาต่างๆ ซึ่งจะใช้เวลาล่องไปตามลำคลองผ่านสะพานหินหลายต่อหลายแห่งในเขตเมือง ที่เรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งคลองทำให้เราได้เห็นบรูจส์อีกหนึ่งมุมมองนอกเหนือจากการเดินชมเมือง
เมืองลูเว็น (Leuven)
ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงบรัสเซลส์ เป็นเมืองที่มีจุดกำเนิดมาจากอดีตป้อมปราการชาวโรมันตั้งแต่สมัย จูเลียต ซีซาร์ (Julius Ceasar) ในสมัยกลางเป็นเมืองที่มั่งคั่งจากการเป็นศุนย์กลางการค้าผ้า ในปี 1425 สมเด็จพระสันตะปาปามาร์ตินที่ 5 และท่านเคานต์ จอร์น ออฟบราบันต์ (John of Brabant) ได้ร่วมกันก่อตั้งมหาวิทยาลัยลูเว็นจึงกลายเป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่สำคัญของเบลเยี่ยมมาจนถึงทุกวันนี้ และยังมีโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์บนจัตุรัสกว้าง ผับบาร์คาเฟ่อันแสนคึกคัก พิพิธภัณฑ์น่าชมและถนนช้อปปิ้งน่าเดินให้เราไปเที่ยวชมได้เพลิดเพลินในบรรยากาศสบายๆ
โบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ (St, Peter’s Church)
ตั้งอยู่กลางจัตุรัส Grote Markt เป็นโบสถ์ที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 200 ปี นับตั้งแต่ปี 1420 ภายในมีแท่นบูชา ภาพเรื่องราวทางศาสนาแขวนให้ชม และส่วนหนึ่งจัดเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะท้องถิ่น (Museum voor Religieuze Kunst) สำหรับจัดแสดงผลงานจิตรกรท้องถิ่น
เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp)
เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากกรุงบรัสเซลส์ และยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญ อันดับต้นๆของโลก เพราะตัวเมืองอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่และเมืองแอนท์เวิร์ปเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการค้าเพชรระดับโลก เพชรเกือบ 70% มีการซื้อขายกันที่เมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ยังโดดเด่นทั้งเรื่องแฟชั่นแนวอาว็อง-การ์ด และสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคอีกด้วย แหล่งท่อง
ชมลานน้ำพุกับรูปปั้นของ ซิลวิอุส บราโบ
นิยมเรียกกันว่า รูปปั้นบาร์โบ (Brabo statue) วีรบุรุษผู้กล้าในตำนานของเมือง โดยรูปปั้นจะตั้งอยู่ด้านหน้าของศาลาว่าการเมือง ชมสายน้ำที่ไหลพุ่งจากมือที่ถูกตัด โดยสายน้ำนั้นเปรียบเสมือนเลือดของยักษ์ที่พ่ายแพ้
โบสถ์พระแม่ (Cathedral of Our Lady)
โบสถ์แบบโกธิคที่ถือได้ว่าใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่ที่สุดในเบลเยียม สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1352 ถึง 1521 โดยตัวโบสถ์นั้น มีความสูงมากกว่า400 ฟุต ภายในโบสถ์ถูกประดับประดาไปด้วยหน้าต่างกระจกสีรวมถึงภาพเขียนชิ้นเยี่ยมของศิลปินชื่อดังคือ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens) ภาพที่สำคัญที่สุดคือ ภาพยักษ์กางเขน ที่ถือว่าเป็นผลงานชื่อก้องอีกชิ้นหนึ่งของรูเบนส์ นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังมีแท่นบูชาประดับด้วยหินอ่อนแกะสลัก ซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนเมืองนี้อีกด้วย
ปราสาทหิน (Het Steen)
เป็นปราสาทยุคกลางขนาดเล็กเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเวียนมาเยือนทุกคร้ังเมื่อมาเมืองแอนเวิร์ป โดยตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่ริแม่น้ำสเกลท์ใกล้ๆกับปราสาทยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารไว้คอยบริการให้กับบักท่องเที่ยวอีกด้วย
บ้านรูเบนส์ (Ruben)
เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านรูเบนส์ในแอนต์เวิร์ปหลังใหญ่โตราวกับพระราชวัง สมกับที่เขาเป็นจิตรกรที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป ภายในบ้านจัดแสดงภาพเขียน ร่ำลือกันว่า “รูเบนส์” เป็นจิตรกรคนแรกๆในยุคสมัยก่อนที่เปิดสตูดิโอรับงานเขียนภาพจากบรรดากษัตริย์ ราชินี ขุนนาง และคนร่ำรวย ในสมัยก่อน จนได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรในราชสำนัก มีเรื่องเมาท์กันสนุกปากว่า บางครั้งภาพเขียนของเขา รูเบนส์ เพียงแค่ร่างภาพ จัดองค์ประกอบ กำหนดสี จากนั้นก็ให้ลูกศิษย์นำไปขยายและลงสีบนผืนผ้าใบ เมื่อเขียนเสร็จเขาก็แค่ลงชื่อกำกับ ทำให้ภาพนั้นสามารถขายได้ในราคาแพง จึงเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ว่าใครได้เดินทางมาที่เมืองแอนต์เวิร์ปก็จะต้องแวะเข้ามาชมที่บ้านรูเบนส์แห่งนี้
เมืองเกนต์ (Ghent)
เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับสองของประเทศเบลเยี่ยม เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นเมืองเก่าแก่ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง มีความทันสมัยได้แทรกตัวอยู่อย่างกลมกลืน ในยุคกลางเกนต์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมั่งคั่งที่สุดในตอนเหนือของยุโรป ในปัจจุบันเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเกนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
หอระฆังเมืองเกนต์ (The Belfry of Ghent)
หอระฆังสูงตระหง่านเอกลักษณ์ของเมืองเกนต์ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางศาสนา และเป็นหอสังเกตการณ์เท่านั้น แต่ต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้มีบทบาทสำคัญต่อชาวเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีระฆังเพื่อประกาศการเปิดตลาดหรือเตือนว่ามีการโจมตีและเพื่อบอกเวลา
โบสถ์เซนต์บาโว (Saint Bavo Cathedral)
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชาร์ลส ที่ 5 เป็นศิลปะแบบโกธิค ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 3 ศตวรรษนับตั้งแต่ปี 1290 เพื่ออุทิศให้กับเซ็นต์บาโว ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ประจำเมืองเกนต์ โดยท่านได้เสียชีวิตลงในโบสถ์แห่งนี้ ภายในประดับประดาด้วยกระจกสีและแท่นบูชารวมไปถึงงานจิตรกรรมและประติมากรรมที่มีค่าหลายชิ้น ทั้งผลงานประติมากรรมหินอ่อนแบบบาร็อก และธรรมาสน์หรือแท่นสำหรับเทศนาสั่งสอนของนักบวช ศิลปะแบบร็อกโคโค่ จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่เมื่อเดินทางมาที่เมืองเกนต์จะต้องไม่พลาดที่จะมาแวะชมที่โบสถ์เซ็นต์บาโวแห่งนี้
ปราสาทท่านเคานต์ (Castle of the Count)
ปราสาทเก่าแก่อายุนับพันปีจากศตวรรษที่ 11 ใช้เป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งฟลันเดอร์ บางส่วนของปราสาทสร้างเพิ่มเติมในศตวรรษที่ 14 ต่อมาปราสาทแห่งนี้ถูกหมุนเวียนเปลี่ยนให้มาเป็นทั้งที่ทำการของเมืองและได้ปรับเปลี่ยนเป็นที่คุมขังนักโทษจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และเป็นโรงงานทอผ้าตามลำดับ ปัจจุบันเปิดเป็น พิพิธภัณฑ์แห่งการลงทัณฑ์ จัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้คุมขังและทรมานนักโทษ และ พิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงอาวุธสมัยโบราณและเสื้อเกราะ
สนใจทัวร์ เบลเยี่ยม ติดต่อเราได้ที่นี่ …
Line : @tourddtooktook
โทร: 02-010-8840
สายด่วน: 091-739-6939 พี่หวิน // สายด่วน: 090-894-3331
เว็บไซต์: https://www.we-rworldtour.com/
Facebook: https://www.facebook.com/werworldtour/
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก : shutterstock